เปิดหมด กลยุทธ์การตั้งราคา ตั้งยังไงให้ลูกค้าซื้อรัวๆ

เปิดหมด กลยุทธ์การตั้งราคา ตั้งยังไงให้ลูกค้าซื้อรัวๆ
5/5 - (1 vote)

ปัจจุบัน กลยุทธ์การตั้งราคา ไม่ว่าจะสินค้าหรือบริการเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญในการกำหนดยอดขายและกำไรในธุรกิจของคุณ การตั้งราคาที่เหมาะสมและมีความสอดคล้องกับคุณค่าของสินค้าหรือบริการจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายดีขึ้น นี่คือเคล็ดลับในการตั้งราคาให้ขายดี

กลยุทธ์การตั้งราคา คืออะไร

กลยุทธ์การตั้งราคาคือแผนการที่กำหนดวิธีการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการของธุรกิจ โดยเน้นการเลือกใช้กฎหรือแนวทางในการกำหนดราคาที่เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและยอดขายของธุรกิจ กลยุทธ์การตั้งราคาสามารถมีลักษณะที่แตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและความต้องการของลูกค้า โดยหากธุรกิจมีการตั้งราคาที่เหมาะสมยังช่วยให้แอดมินหรือฝ่ายขายปิดการขายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

6 กลยุทธ์ การตั้งราคา ยอดนิยมในปัจจุบันมีอะไรบ้าง

6 กลยุทธ์ การตั้งราคา ยอดนิยมในปัจจุบันมีอะไรบ้าง

แนวทาง กลยุทธ์การตั้งราคา มีหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของสินค้าหรือบริการและสภาพตลาด นี่คือแนวทางกลยุทธ์การตั้งราคา

  • 1. การตั้งราคาตามฤดูกาล (Seasonal Pricing)

คือกลยุทธ์การตั้งราคาที่เปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าหรือบริการตามฤดูกาลหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาในปี หลักการนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดราคาในช่วงเวลาที่ต่างกันได้เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอัตราส่วนของความต้องการและความสามารถในการจัดหาสินค้าหรือบริการ

ตัวอย่างบริษัทที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้แก่:

บริษัทท่องเที่ยวและโรงแรมในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่มีฤดูร้อนและฤดูฝนต่างกันอย่างชัดเจน บริษัทเหล่านี้สามารถปรับราคาในช่วงฤดูร้อนสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการเพิ่มขึ้น เช่นการเพิ่มราคาของที่พักในรีสอร์ทในช่วงหน้าหนาวหรือฤดูร้อนที่เป็นช่วงปลายฤดูกาล โดยที่ราคาสามารถลดลงในช่วงฤดูฝนเพื่อดึงดูดลูกค้าในช่วงนี้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ เช่น ธุรกิจขายเสื้อผ้าที่มีการลดราคาในช่วงฤดูกาลลดลง เช่น การลดราคาชุดเด็กในช่วงเทศกาลวันเกิดเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ปกครอง หรือบริษัทอาหารที่เสนอเมนูพิเศษในช่วงเทศกาลเพื่อสร้างความตื่นเต้นและเพิ่มยอดขายในเวลานั้น การตั้งราคาตามฤดูกาลเป็นวิธีที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างความน่าสนใจและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจในระยะเวลาที่แตกต่างกันในปี.

  • 2. การตั้งราคาอิงคู่แข่ง (Competitive Pricing Strategy)

คือกลยุทธ์การตั้งราคาที่ใช้ราคาของคู่แข่งเป็นแนวทางในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการของตนเอง โดยในกลยุทธ์นี้ธุรกิจจะนำราคาของสินค้าหรือบริการของคู่แข่งมาเป็นข้อมูลในการกำหนดราคาของตนเอง เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

ตัวอย่างบริษัทที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้แก่:

บริษัทผลิตและจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่น ๆ บริษัทเหล่านี้มักจะเลือกกลยุทธ์การตั้งราคาอิงคู่แข่ง เพื่อให้ราคาของผลิตภัณฑ์เข้ากับราคาของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเดียวกันของคู่แข่ง โดยที่ราคาอาจจะต่ำกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้เสมอภายใต้เงื่อนไขการส่งเสริมการขายและบริการหลังการขายที่ดีกว่า

ในบางกรณี บริษัทอาจเลือกที่จะตั้งราคาต่ำกว่าคู่แข่งเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความน่าสนใจในสินค้าหรือบริการของตน หรืออาจจะตั้งราคาใกล้เคียงคู่แข่งเพื่อรักษาความเท่าเทียมในตลาดและแข่งขันในระดับราคา.

การตั้งราคาอิงคู่แข่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้เป็นอย่างดี แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่นำเสนอ รวมถึงระดับการบริการหลังการขาย เพื่อให้สามารถแข่งขันอย่างยั่งยืนและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว.

  • 3.การตั้งราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า (Pricing by Type of Customers)

คือกลยุทธ์การตั้งราคาที่ใช้ราคาที่แตกต่างกันสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณลักษณะและความต้องการที่แตกต่างกัน โดยในกลยุทธ์นี้บริษัทจะกำหนดราคาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มลูกค้า เพื่อให้ความพอใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีที่สุด

ตัวอย่างบริษัทที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้แก่:

บริษัทการบินที่มีการตั้งราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า โดยเน้นไปที่การบริการในระดับแบบส่วนตัว ตัวอย่างเช่น บริษัทการบินที่มีการตั้งราคาต่างกันสำหรับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขา

นอกจากนี้ บริษัทที่ขายสินค้าอาหารและเครื่องดื่มก็ใช้กลยุทธ์นี้ เช่น ร้านอาหารที่มีราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า เช่น ราคาสำหรับเด็ก ราคาสำหรับผู้ใหญ่ และราคาสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและความพอใจของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มได้.

การตั้งราคาแยกตามกลุ่มลูกค้าเป็นวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับราคาให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยที่สามารถสร้างความพึงพอใจและความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่.

  • 4.การตั้งราคาแบบเป็นกลาง (Neutral Pricing)

คือกลยุทธ์การตั้งราคาที่ใช้ราคาที่เป็นระดับกลาง หรือเป็นเส้นกึ่งกลางของราคาของคู่แข่งหรือในตลาดเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความต้องการของลูกค้าและสภาพคู่แข่ง กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในตลาดได้โดยไม่เน้นการต่อรองราคาหรือการแข่งขันราคาสูงมาก

ตัวอย่างบริษัทที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้แก่:

บริษัทซัพพลายเชนผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ตั้งราคาแบบเป็นกลาง โดยที่ราคาของผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับเทียบเท่ากับคู่แข่งในตลาด โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและการบริการที่ดี เช่น บริษัทที่ผลิตและจำหน่ายทีวีจะตั้งราคาในระดับเป็นกลางเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงและซื้อสินค้าได้ง่าย ๆ แต่รวมถึงมีคุณภาพและการเชื่อมต่อที่ดี.

ในบางกรณี ร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ อาจเลือกที่จะตั้งราคาแบบเป็นกลาง เพื่อไม่ให้มีการแข่งขันราคาเป็นส่วนใหญ่ แต่ให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าตามความต้องการและสไตล์ของตนได้.

การตั้งราคาแบบเป็นกลางช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและการบริการที่เสถียรและมีคุณค่าสูง.

  • 5.การตั้งราคาแบบจับคู่สินค้าลดราคา (Product Set Price Strategy)
การตั้งราคาแบบจับคู่สินค้าลดราคา (Product Set Price Strategy)

คือกลยุทธ์การตั้งราคาที่นำสินค้าหรือบริการหลายชนิดมาจับคู่เข้าด้วยกันในแพ็คเกจเดียว โดยกำหนดราคาที่ต่ำกว่าราคาของการซื้อแยกตัวของแต่ละสินค้าหรือบริการ เพื่อสร้างความคุ้มค่าและสร้างกระแสขายให้กับลูกค้า กลยุทธ์นี้ช่วยส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก.

ตัวอย่างบริษัทที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้แก่:

ร้านขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เสริมที่นำเสนอแพ็คเกจสินค้า ในแพ็คเกจเดียวที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์พกพาและเมาส์ไร้สาย บริษัทอาจกำหนดราคาที่ต่ำกว่าราคาของสินค้าแยกตัว เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับความคุ้มค่ามากขึ้นเมื่อซื้อแพ็คเกจนี้.

ร้านค้าออนไลน์ที่ขายเครื่องสำอางและเครื่องสำอางเซ็ต อาจเลือกจับคู่เครื่องสำอางต่าง ๆ เข้าด้วยกันในแพ็คเกจและกำหนดราคาที่ดีเมื่อซื้อแพ็คเกจ ที่รวมถึงลิปสติก อายแชดาวน์ และมาสคาร่า เพื่อสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นการขายของสินค้าเครื่องสำอางทั้งหมด.

  • 6. การตั้งราคาแบบจับคู่สินค้าลดราคา (Product Set Price Strategy)

คือกลยุทธ์การตั้งราคาที่นำสินค้าหรือบริการหลายชนิดมาจับคู่เข้าด้วยกันในแพ็คเกจเดียว โดยกำหนดราคาที่ต่ำกว่าราคาของการซื้อแยกตัวของแต่ละสินค้าหรือบริการ เพื่อสร้างความคุ้มค่าและสร้างกระแสขายให้กับลูกค้า กลยุทธ์นี้ช่วยส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก.

ตัวอย่างบริษัทที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้แก่:

ร้านขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เสริมที่นำเสนอแพ็คเกจสินค้า ในแพ็คเกจเดียวที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์พกพาและเมาส์ไร้สาย บริษัทอาจกำหนดราคาที่ต่ำกว่าราคาของสินค้าแยกตัว เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับความคุ้มค่ามากขึ้นเมื่อซื้อแพ็คเกจนี้.

ร้านค้าออนไลน์ที่ขายเครื่องสำอางและเครื่องสำอางเซ็ต อาจเลือกจับคู่เครื่องสำอางต่าง ๆ เข้าด้วยกันในแพ็คเกจและกำหนดราคาที่ดีเมื่อซื้อแพ็คเกจ ที่รวมถึงลิปสติก อายแชดาวน์ และมาสคาร่า เพื่อสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นการขายของสินค้าเครื่องสำอางทั้งหมด.

การใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบจับคู่สินค้าลดราคาช่วยสร้างความคุ้มค่าและสิ่งที่น่าสนใจให้กับลูกค้า และส่งเสริมให้ลูกค้ามีแนวโน้มซื้อสินค้าหรือบริการเป็นกลุ่มหรือชุดแพ็คเกจ เพื่อรับความคุ้มค่ามากขึ้น.

ตัวอย่าง กลยุทธ์การตั้งราคา ที่ประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง กลยุทธ์การตั้งราคา ที่ประสบความสำเร็จ

เหล่าบริษัทเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความคุ้มค่าและดึงดูดความสนใจของลูกค้า ตัวอย่าง กลยุทธ์การตั้งราคา ที่ประสบความสำเร็จ

  • McDonald’s (แมคโดนัลด์): ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ใช้กลยุทธ์ “Value Pricing” โดยเน้นการเสนอราคาที่ถูกและคุ้มค่า เช่น เมนูส่วนใหญ่ในราคาเท่าที่ 99 บาท หรือ ราคาที่สิ้นดี เช่น 49 บาท เพื่อดึงดูดความสนใจและประสบความสำเร็จในการขาย.
  • Apple (แอปเปิ้ล): บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ใช้กลยุทธ์ “Premium Pricing” โดยเน้นการตั้งราคาสินค้าในระดับสูงเพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่มีคุณค่าสูงและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่มองหาคุณภาพ.
  • IKEA (อิเกีย): ร้านขายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ใช้กลยุทธ์ “Value-Based Pricing” โดยเน้นการเสนอราคาที่เหมาะสมกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ และให้ลูกค้าได้รับคุณภาพในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง.
  • Amazon (อเมซอน): ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้กลยุทธ์ “Dynamic Pricing” โดยปรับราคาสินค้าตามความต้องการและการแข่งขันในตลาด เช่น การปรับราคาในช่วงโปรโมชั่นหรือการขายส่วนลด.
  • Coca-Cola (โค้ก่าโคล่า): บริษัทผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มที่ใช้กลยุทธ์ “Psychological Pricing” โดยตั้งราคาสินค้าในราคาที่สัมผัสถึงความสดชื่นและความสนุกของผลิตภัณฑ์ เช่น ราคา 9 บาท หรือ 19 บาท เพื่อสร้างความสนใจและกำลังขาย.

โดยสรุปกลยุทธ์การตั้งราคาที่เลือกใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของธุรกิจของคุณ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะช่วยให้คุณเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตั้งราคาในธุรกิจของคุณ.